หลายคน เชื่อว่าพลังอำนาจเหล่านั้นถึงจะไม่ได้เห็น แต่ก็เชื่อว่ามันมีจริงๆ
แล้วถ้ายิ่งเราสามารถนำเอาพลังเหล่านั้นมาใช้เพื่อเสริมกำลังให้กับตนเองได้แล้วนั้น
ย่อมมีคนที่ถึงขนาดที่ยอมลงทุนลงแรง ออกตามหาซื้อทุกสิ่งที่จะทำให้เกิดผลดีกับตัวเอง
จนถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวเลยก็ยังมีมาแล้ว
แล้วทำไมถึงเชื่อเรื่องพวกนี้?
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า สิ่งนึงที่มีอยู่ในตัวคนทุกๆคนนั่นคือ "ความอยากที่จะเชื่อ"
หมายถึง เมื่อเราได้ยินประโยคอะไรเข้ามาแล้ว เราก็แทบจะเชื่อเลยทันทีที่ได้ยิน แต่สิ่งที่เรียกว่า "วิจารณญาณ" ของแต่ละคนจะเริ่มเข้ามาเป็นตัวกลั่นกรองว่าสิ่งนั้นควรที่จะเชื่อหรือไม่ควรที่จะเชื่อ
ซึ่งตัววิจารณญาณนี้เองหมายถึงการใช้ "ตรรกะเหตุผล" และ "ประสบการณ์" เป็นการประกอบการตัดสินใจว่าสิ่งนั้นควรเชื่อดีมั๊ย โดยสองสิ่งนี้แตกต่างกันในแต่ละคน จึงทำให้การตัดสินใจจะเชื่อในเรื่องนึงๆ ของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปด้วย
จะเชื่อหรือไม่ ควรจะใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนเสมอ
เราคงบังคับให้ใครเชื่ออะไรอย่างที่เราต้องการให้เขาเชื่อคงไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ การช่วยเพิ่ม "ตรรกะเหตุผล" ให้เขา หรือ อ้างอิง "ประสบการณ์" ของบุคคลอื่น(หรือตัวเอง) ให้กับเขา โดยหวังว่าสิ่งที่เพิ่มไปจะมีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้เขาโน้มเอียงมาคิดในแนวทางเดียวกับเรา
แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งอย่างจะใช้วิจารณญาณในการแก้ปัญหาได้หมด โดยเฉพาะสิ่งที่ "มองไม่เห็น"
แน่นอนว่า ไม่มีทางใช้ "ตรรกะเหตุผล" อะไรมาพิสูจน์ได้อยู่แล้ว ไม่งั้นคงเป็นการค้นพบ
ทางวิทยาศาสตร์ที่มาเขย่าวงการระดับโลกได้แน่ๆ ก็เหลือแต่เพียงการใช้วิจารณญาณทางด้าน
"ประสบการณ์" เข้ามาเป็นส่วนหลักในการช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งตรงนี้เองที่มีจุดอ่อนอย่างมาก
ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติเราพูดถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างเช่น "ทิศเหนือ" แล้วให้คนที่อยู่ในห้องทุกคนปิดตาลงแล้วลองชี้ไปทางทิศเหนือ สิ่งที่จะเห็นได้แน่ๆคือ แต่ละคนชี้ไปคนละทิศคนละทางกันเลย มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประสบการณ์และความรู้สึก ของแต่ละคนมันจึงไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้ชี้วัดความจริงอะไรได้เลย
กลับมาถึงเรื่องการใช้ประสบการณ์มาวัดสิ่งที่มองไม่เห็น อย่างที่บอกไปแล้วว่าประสบการณ์
ของแต่ละคนมันต่างกันจะใช้ชี้วัดอะไรที่จริงๆจังๆไม่ได้ เช่น เวลาคนเห็นหน้าต่างอยู่ๆก็ปิด/เปิดได้เอง
คนที่เห็นคนนึงอาจจะบอกว่า "น่าจะเป็นผีมาปิดเปิด ไม่งั้นมันจะปิดเปิดเองได้ยังไง"
อีกคนที่เห็นเหตุการณ์เดียวกันอาจจะมองเห็นเป็นแค่ "ลมพัดหน้าต่างปิด/เปิด" เท่านั้นเองก็ได้
ไม่เกี่ยวอะไรกับฑูตผีเทวดาเลย แค่ประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคนก็ต่างกันแล้ว
ยังมีประสบการณ์ที่ยืมของคนอื่นมาอีก ซึ่งยิ่งเชื่อถือไม่ได้เข้าไปใหญ่ ประโยคที่บอกว่า "ก็คนเขาว่ากันมาว่าดี"
"เจ้าพ่อองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์", "หมอดูคนนี้ทายแม่นนะ", "(ญาติ/พี่ป้าน้าอา/เพื่อน/คนสนิท/คนรู้จัก)เขาว่ากินยาเนี้ยแล้วหาย" เป็นประสบการณ์ที่อ้างอิงจากคนอื่นมาทั้งนั้น ข้อเสียของประสบการณ์ที่ไม่ใช่ของตัวเองแล้วต้องอ้างอิงมาเนี่ยคือ สถานการณ์ต่างๆมันไม่เหมือนกัน และที่สำคัญเลย คือมันไม่ใช่ของตัวเอง แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า คนส่วนใหญ่ก็พอฟังของพวกนี้แล้ว ก็เชื่อเลยสนิทใจ แถมยังสามารถเล่าต่อได้เป็นฉากๆ เหมือนกับเคยเจอมาด้วยตัวเองยังไงยังงั้น ?!?!?
เลิกกันดีกว่ามั๊ยครับ ในการที่จะตัดสินอะไรง่ายๆ จากสิ่งที่เชื่อตามๆกันมา หรือสิ่งที่ไม่มีตัวตนพิสูจน์ไม่ได้ ความจริงสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ก็ไม่ควรจะเอาไปใช้ในการตัดสินใจด้วยเหมือนกัน
อย่างหลักธรรมที่เรียกว่า "กาลามสูตร" ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้เพื่อมิให้พุทธศาสนิกชนหลงงมงาย
เชื่อถือในสิ่งที่ไม่ได้ใช้ปัญญาไตร่ตรองมาก่อน กาลามสูตรมีทั้งหมด 10 ประการ ดังนี้
- อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
- อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
- อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
- อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
- อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
ความจริงรวมถึงเรื่องพระพุทธเจ้ามีจริงมั๊ย หลักธรรมคำสั่งสอนนี้ใช้ได้จริงรึเปล่า หรือว่าบทความนี้มันยกเมฆมาเขียนรึเปล่า กรุณาใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองก่อนที่จะเชื่อนะครับ
No comments:
Post a Comment